สมาร์ทโฟนขโมยพลังชีวิต

ชีวิตคนเมืองทุกวันนี้ผูกติดกับแท่งพลาสติกสอดไส้โลหะเล็กๆ ที่เรียกว่า "สมาร์ทโฟน" กันแทบจะแยกจากกันไม่ออก คิดถึงเพื่อนก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดๆ ส่งข้อความ นัดหมายประชุมก็บันทึกไว้ในสมาร์ทโฟน จะสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตก็ต้องคว้าเจ้าแท่งเล็กๆ นี้ขึ้นมาจิ้มๆ กดๆ เรียกว่าเป็นคู่มือที่แทบจะไม่ห่างจากตัวกันเลยทีเดียว
/data/content/19784/cms/abgquvz12479.jpg
การใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปนอกจากจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและเวลาสำหรับครอบครัวลดลงแล้ว ยังส่งผลเสียต่อการทำงานอีกด้วย เพราะผู้ใช้จะรู้สึกหมดแรงและไม่มีอารมณ์ทำงานอีกด้วย
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากการวิจัย 2 งานที่ให้ผลไปในทางเดียวกัน โดยงานวิจัยทั้งสองได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ในวารสารออแกร์ไนเซชั่นนอล บีเฮวิเออร์ และ ฮิวแมน ดีซิชั่น โพรเซส โดยผลวิจัยระบุว่าการใช้สมาร์ทโฟนในช่วงเวลากลางคืนหลังจาก 21.00 น.จะส่งผลให้ผู้ใช้เกิดอาการอ่อนเพลีย และมีความกระตือรือร้นที่จะทำงานในวันถัดไปน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มตัวอย่างอื่นที่รับสื่อที่มีแหล่งกำเนิดแสงประเภทอื่น เช่น โทรทัศน์และแท็บเล็ต
นอกจากนั้นยังระบุด้วยว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนจะมีเวลานอนน้อยกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าต้องใช้เวลาที่สมควรจะนอนไปกับการทำงาน และการทำเช่นนั้นก็ทำให้นอนหลับได้ยากขึ้นอีก
การวิจัยทั้งสองจับกลุ่มผู้บริหารระดับกลาง 82 คนและพนักงานบริษัทเอกชน 161 คนในประเทศอังกฤษ ตามลำดับเป็นตัวอย่างในการวิจัย ซึ่งผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนในช่วงกลางคืนสารภาพว่าตนเองมีสมาธิและความกระตือรือร้นในการทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้นน้อยลง ซึ่งทำให้นักวิจัยกลุ่มนี้ตั้งทฤษฎี "ความถดถอยของจิตใต้สำนึก" (ego-depletion theory) ที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนถูกบั่นทอนการควบคุมตัวเองจากการใช้สมาร์ทโฟนไม่ถูกกาละ และระบุด้วยว่าแม้บริษัทนายจ้างจะได้เวลาการทำงานของลูกจ้างเพิ่มเติมจากการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนในเวลานอน แต่ก็ต้องแลกกับการที่ลูกจ้างมีความเฉื่อยชาในการทำงานที่สำนักงานแทน
นักวิจัยกลุ่มนี้ได้เสนอทางออกของผู้ใช้สมาร์ทโฟนเกินเวลาอันสมควรจนทำให้เกิดความเฉื่อยชาในการทำงานนั้น ให้ใช้การงีบหลับเพื่อชดเชยเวลานอน ดื่มกาแฟ หรือสับเปลี่ยนหน้าที่กับผู้อื่น กำหนดตารางการทำงานและช่วงเวลาพักที่ชัดเจน และแก้ไขปัญหาด้วยการทำงานเป็นทีมแทน
Share:

About








ผอ.รพ.สต.

ผอ.รพ.สต.